แผลในปาก เป็นอาการที่พบได้ทั่วไป เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อย่างการกัดริมฝีปาก แผลจากรับประทานของร้อน โรคเชื้อราในปาก หรือแม้แต่การละเลยสุขอนามัยในช่องปาก แผลในปากอาจทำให้รู้สึกระคายเคืองเมื่อรับประทานอาหารรสจัดและรู้สึกเจ็บขณะแปรงฟัน เคี้ยวอาหาร โดยปกติแผลในปากสามารถหายได้เอง แต่การใช้ยาร่วมกับการดูแลตนเองก็จะช่วยให้แผลสมานได้เร็วขึ้น
อาการของแผลในปาก แผลในปากอาจเกิดขึ้นเพียงจุดเดียวหรือหลายจุดพร้อมกันได้จะรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส ซึ่งอาจเป็นปัญหาในการแปรงฟันและการเคี้ยวอาหาร โดยเฉพาะเมื่อรับประทานอาหารรสจัดหรือของร้อน
นอกจากนี้ ลักษณะอาการของแผลในปากอาจแบ่งได้ตามขนาดและชนิด ดังนี้
- แผลขนาดเล็ก แผลในปากขนาดเล็กเป็นชนิดที่พบได้บ่อยมากที่สุด โดยแผลจะมีลักษณะเป็นวงกลมหรือวงรีขนาดเล็ก สามารถหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
- แผลขนาดใหญ่ แผลในปากขนาดใหญ่มักพบได้น้อย มีลักษณะเป็นวงกลมและวงรีขนาดใหญ่และลึกกว่าแผลขนาดเล็ก ขอบแผลชัดแต่เมื่อแผลมีขนาดใหญ่มากขอบของแผลอาจมีลักษณะที่เปลี่ยนไป เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บมากโดยอาจใช้เวลาราว 6 สัปดาห์ในการรักษาและอาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้
- แผลเฮอร์ปิติฟอร์ม (Herpetiform) เป็นแผลที่พบได้ยาก ขนาดเล็กแต่มีจำนวนมากซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 10-100 จุด และอาจขยายรวมกันจนกลายเป็นแผลใหญ่แผลเดียว มีลักษณะขอบแผลที่ไม่แน่นอนสามารถหายได้ใน 1-2 สัปดาห์โดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น โดยแผลในปากชนิดนี้ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อเริม
อย่างไรก็ตาม หากเกิดอาการต่อไปนี้ควรไปพบแพทย์ เป็นแผลขนาดใหญ่ผิดปกติ มีแผลเกิดใหม่ในขณะที่แผลเก่ายังไม่หาย และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ เมื่อสัมผัสแล้วไม่รู้สึกเจ็บ มีแผลเกิดขึ้นบริเวณริมฝีปาก ยาหรือการดูแลด้วยตนเองเบื้องต้นไม่สามารถบรรเทาอาการปวดได้ มีปัญหาในการดื่มน้ำอย่างรุนแรงหรือไม่สามารถรับประทานอาหารได้ มีไข้สูงหรือท้องเสียร่วมกับเกิดแผลในปาก
สาเหตุของแผลในปาก ในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุของการเกิดแผลในปากได้อย่างแน่ชัด แต่พบว่ามีหลายปัจจัยที่อาจทำให้เกิดแผลในปากได้ ดังนี้
- การระคายเคืองในช่องปาก แผลในปากนั้นอาจเกิดจากการระคายเคืองในช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นการแปรงฟันแรงเกินไป การเสียดสีกับลวดจัดฟัน แผลจากอุบัติเหตุ แผลจากทันตกรรม กัดปากหรือกระพุ้งแก้ม การใช้ยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่ผสมสารเพิ่มฟอง (Sodium lauryl sulfate) อาการไวต่ออาหารบางชนิด อย่างถั่ว ไข่ ช็อกโกแลต กาแฟ หรืออาหารรสจัดและอาหารที่มีกรด
- การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์อาจส่งผลให้เกิดแผลในปากได้ เช่น การขาดสารอาหาร โดยเฉพาะธาตุเหล็ก สังกะสี กรดโฟลิค วิตามินบี 6 และ 12 การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนภายในช่วงรอบเดือน พักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด เป็นต้น
- เชื้อโรคในช่องปาก เชื้อโรคในช่องปากและโรคจากการติดเชื้ออาจส่งผลให้เกิดแผลในปากได้ อย่างเชื้อเอชไพโลไร(Helicobacter pylori) ซึ่งเป็นเชื้อชนิดเดียวกันที่ทำให้เกิดแผลในทางเดินอาหาร โรคเริม เชื้อเอชไอวีหรือโรคเอดส์ โรคเชื้อราในปาก หรืออาจเกิดจากการแพ้เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเชื้อราภายในช่องปาก นอกจากนี้ การละเลยการดูแลช่องปากก็อาจเป็นสาเหตุของแผลในช่องปากได้
- เกิดจากโรคและสุขภาวะ แผลในปากอาจเป็นสัญญาณหรืออาการของโรค เช่น โรคเบาหวาน โรคเซลิแอค(Celiac disease) หรือโรคแพ้กลูเตน โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคเบเซ็ท (Behcet’s disease) หรือโรคหลอดเลือดอักเสบ ระบบภูมิคุ้มกันทำงานบกพร่อง โรคมะเร็งช่องปาก เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นอาจเกิดอาการแผลในช่องปากได้บ่อยกว่าคนกลุ่มอื่น โดยจะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย แผลในปากนั้นอาจส่งต่อผ่านทางพันธุกรรมหรือเกิดจากปัจจัยร่วมในครอบครัว อย่างสภาพแวดล้อมหรืออาหารที่รับประทานร่วมกันในครัวเรือน
การวินิจฉัยแผลในปาก แพทย์อาจวินิจฉัยแผลในปากด้วยการสังเกตรอยแผลเท่านั้น แต่หากอาการอยู่ในขั้นรุนแรงอาจใช้วิธีอื่นๆ ตรวจสอบตามดุลยพินิจของแพทย์
การรักษาแผลในปาก แผลในปากสามารถหายได้เองเมื่อผ่านไปสักระยะ แต่การใช้ยาและการรักษาด้วยตนเองก็อาจช่วยให้อาการแผลในปากหายได้เร็วขึ้น โดยวิธีที่อาจใช้ในการรักษามี ดังนี้
รักษาด้วยตนเอง การรักษาแผลในปากด้วยตนเองสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
- รักษาความสะอาดภายในช่องปากอยู่เสมอ
- รับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกรดโฟลิค สังกะสี วิตามินบี 6 และ 12
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลือหรือน้ำอุ่นผสมเบกกิ้งโซดา
- ประคบน้ำแข็ง โดยนำก้อนน้ำแข็งวางบริเวณแผลภายในปากอย่างเบามือ
- ประคบแผลด้วยถุงชาหมาดๆ
- รักษาด้วยสมุนไพร อย่างชาคาโมมายล์ เอ็กไคนาเซีย (Echinacea) มดยอบ และรากชะเอมเทศที่มีสรรพคุณทางยา
รักษาด้วยยาและอาหารเสริม การใช้ยาและอาหารเสริมเพื่อรักษาแผลในปาก ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนการใช้ยาและอาหารเสริม ซึ่งการรักษาด้วยยาและอาหารเสริมที่อาจช่วยบรรเทาอาการแผลปากอาจมี ดังนี้
- รับประทานยาแก้ปวด อย่างพาราเซตามอล
- ใช้ยาเฉพาะจุดที่มีส่วนประกอบอย่างเบนโซเคน (Benzocaine) ฟลูโอซิโนโลน (Fluocinonide) และไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (Hydrogen peroxide)
- บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมสเตียรอยด์อาจช่วยลดอาการปวดบวมได้
- ทาแผลด้วยมิลค์ออฟแมกนีเซียม(Milk of magnesia) หรือยาที่ใช้ลดกรด และช่วยเรื่องการขับถ่าย
- รับประทานอาหารเสริม อย่างกรดโฟลิค สังกะสี วิตามินบี 6 และ 12
อย่างไรก็ตาม เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยา อาหารเสริม รวมถึงการรักษาด้วยตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตราย นอกจากนี้ ยังควรแปรงฟันอย่างเบามือและหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดเพื่อช่วยให้แผลในปากหายได้เร็วขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนของแผลในปาก แผลในปากอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เบื่ออาหาร เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis) การติดเชื้อในช่องปาก และโรคมะเร็งช่องปาก เป็นต้น นอกจากนี้ การสัมผัสกับแผลในปากอาจเป็นการกระจายเชื้อของโรคติดต่อ
การป้องกันการเกิดแผลในปาก เนื่องจากสาเหตุในการเกิดแผลในปากนั้นยังไม่ทราบแน่ชัดจึงอาจไม่สามารถป้องกันได้ แต่อาจลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดแผลในปากได้ ดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- หลีกเลี่ยงการรับประทานที่อาหารร้อนจัด และรับประทานอาหารรสจัดแต่พอดี
- แปรงฟันอย่างเบามือ
- ระมัดระวังขณะเคี้ยวอาหาร
- รักษาความสะอาดช่องปากอยู่เสมอ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ทำกิจกรรมผ่อนคลายความเครียด
*ขอขอบคุณ แหล่งข้อมูลอ้างอิง #พบแพทย์ Website : https://www.pobpad.com/แผลในปาก