ต้อหิน (Glaucoma) เป็นโรคของดวงตาชนิดหนึ่งที่เกิดจากความเสื่อมของเส้นประสาทตา หรือเส้นประสาทตาถูกทำลาย โดยเป็นเส้นประสาทที่เชื่อมระหว่างตากับสมอง ปัจจัยหลักมาจากความดันในลูกตาสูงซึ่งเกิดจากการระบายน้ำออกของลูกตามีการอุดตันและเสื่อมสภาพ ทำให้ระบายน้ำออกจากลูกตาได้ไม่ดีพอส่งผลให้ความดันภายในลูกตาเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ จนทำลายประสาทตาในที่สุด โดยอาการของโรคจะมีลักษณะและความรุนแรงแตกต่างกันไปตามประเภทของต้อหินที่เป็น ซึ่งต้อหินสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย และมีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นตามอายุ แต่จะเกิดขึ้นบ่อยในผู้สูงอายุโดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีประวัติของคนในครอบครัวเป็นต้อหิน หรือผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น
นอกจากนี้ องค์กรอนามัยโลก (WHO) ยังระบุว่า ต้อหินเป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นของคนทั่วโลกเป็นอันดับ 2 รองจากต้อกระจก โดยพบผู้ป่วยทั่วโลกที่อาจต้องสูญเสียการมองเห็นจากโรคต้อหินแบบปฐมภูมิ อย่างต้อหินมุมปิดและต้อหินมุมเปิดประมาณ 4.5 ล้านคน ซึ่งมากกว่าจำนวนผู้ป่วยตาบอดทั่วโลกถึง 12 เปอร์เซ็นต์ ส่วนประเทศไทยจากสถิติอุบัติการณ์ของโรคพบว่ามีคนไทยป่วยเป็นโรคต้อหินถึง 36 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั่วประเทศ และมีแนวโน้มของการเกิดโรคนี้ในกลุ่มคนไทยที่เพิ่มสูงขึ้นด้วยโดยคาดว่าในปี 2563 จะมีคนไทยป่วยเป็นโรคนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 7 แสนคน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าต้อหินจะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถป้องกันและควบคุมการสูญเสียของการมองเห็นได้
อาการของต้อหิน โดยทั่วไป ต้อหินจะไม่มีอาการ หรือสัญญาณปรากฏเด่นชัดในตอนแรก และจะเกิดอาการแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหิน ดังนี้
1.ต้อหินมุมเปิด (Open-Angle Glaucoma)
2.ต้อหินมุมปิด (Angle-Closure Glaucoma)
3.ต้อหินแต่กำเนิด หรือกรรมพันธุ์ (Congenital Glaucoma) เกิดในทารกหรือเด็ก อาการมักรุนแรงและควบคุมโรคได้ยาก หากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรกอาจพัฒนาไปจนทำให้ตาบอดได้ การตรวจหาโรคอาจทำได้ยากแต่สามารถสังเกตพฤติกรรมของเด็กและสังเกตทางกายภาพได้ เช่น
4.ต้อหินชนิดแทรกซ้อน (Secondary Glaucoma) อาจเกิดมาจากภาวะแทรกซ้อนจากความผิดปกติทางตา หรือเกิดจากโรคตาอื่นๆ เช่น ได้รับบาดเจ็บหรือเกิดอุบัติเหตุที่ตา มีเนื้องอก หรือใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานานทำให้พัฒนามาเป็นต้อหิน เป็นต้น
สาเหตุของต้อหิน ในตาของเรานั้นจะมีน้ำหล่อเลี้ยงที่เรียกว่า Aqueous Humor ซึ่งถูกผลิตขึ้นโดยเนื้อเยื้อที่เรียกว่า Ciliary Body โดยน้ำหล่อเลี้ยงที่ถูกสร้างขึ้นมาจะไหลเวียนสู่ช่องหน้าลูกตา ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงเลนส์กระจกตา และหลังจากนั้นจะถูกดูดซึมผ่านออกจากลูกตาไปทางมุมตา โดยมุมตาจะมีโครงสร้างลักษณะคล้ายตะแกรง ที่เรียกว่า Trabecular Meshwork ซึ่งจะอยู่บริเวณขอบของม่านตา เมื่อน้ำหล่อเลี้ยงตาที่ผลิตขึ้นและการระบายออกของน้ำในตามีความสมดุล ก็จะทำให้ความดันตาอยู่ในระดับปกติ
ต้อหินมีสาเหตุมาจากจอประสาทตามีความเสื่อมหรือถูกทำลาย โดยประสาทตาจะเสื่อมลงทีละน้อยและเกิดจุดบอดขึ้นที่ลานสายตา มักมีสาเหตุสำคัญมาจากความดันในตาสูงอันเนื่องมาจากการไหลเวียนเข้าและออกของน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตาไม่สมดุล เกิดการอุดตันบริเวณทางออกของช่องระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา ซึ่งทำให้มีการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงลูกตามากขึ้นแต่การไหลออกช้าลง ทำให้ความดันในตาสูงขึ้นอาจเกิดขึ้นอย่างช้าๆ หรือเฉียบพลัน ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคต้อหิน อย่างไรก็ตามสาเหตุที่ทำให้ความดันในตาสูงนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม การใช้ยาหยอดขยายม่านตา การใช้ยารักษาโรคอย่างยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ การลดลงของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงยังเส้นประสาทตา และภาวะความดันโลหิตสูง เป็นต้น
นอกจากนี้ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับดวงตาก็อาจเป็นสาเหตุของการเกิดต้อหินได้ แม้จะเป็นสาเหตุที่พบได้ไม่บ่อยนักก็ตาม เช่น ภาวะอักเสบ การติดเชื้ออย่างรุนแรง การบาดเจ็บที่เกิดจากแรงกระแทกหรือสารเคมี การอุดตันของหลอดเลือด และการผ่าตัด เป็นต้น
การวินิจฉัยต้อหิน แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยโรคต้อหินจากประวัติทางการแพทย์ และตรวจสุขภาพตาอย่างละเอียดซึ่งแพทย์จะทำการตรวจดังต่อไปนี้
การรักษาต้อหิน เส้นประสาทตาของผู้ที่เป็นโรคต้อหินจะถูกทำลายอย่างถาวร การรักษาจึงเป็นการประคับประคองเพื่อไม่ให้ประสาทตาถูกทำลายมากขึ้น และเพื่อคงการมองเห็นที่มีอยู่ให้นานที่สุด ซึ่งการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของโรคต้อหินและระยะของโรคที่เป็นอยู่ โดยเป้าหมายการรักษาต้อหิน คือ การลดความดันในตา การรักษาโรคต้อหินมีหลายวิธี ได้แก่ การใช้ยาหยอดตา การรับประทานยา การผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์ และการผ่าตัดชนิดอื่นๆ
1.การใช้ยาหยอดตา การรักษาโรคต้อหินมักเริ่มด้วยยาหยอดตาตามที่แพทย์สั่ง ซึ่งการหยอดตาจะช่วยลดความดันลูกตา โดยไปลดการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา หรือช่วยเพิ่มอัตราการไหลออกของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาตัวอย่างกลุ่มยาหยอดตาที่ใช้รักษาโรคต้อหิน มีดังนี้
2.การรับประทานยา หากการหยอดตาไม่ช่วยให้ความดันในตาลดลงไปในระดับที่ต้องการ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยารับประทาน โดยทั่วไปจะใช้ยาคาร์บอนิก แอนไฮเดรส อิฮิบิเตอร์ ซึ่งมีทั้งที่เป็นยาหยอดตาและยาเม็ดรับประทาน โดยจะช่วยลดการสร้างของเหลวในลูกตา แต่มีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย มีอาการชาที่นิ้วมือและนิ้วเท้า มีภาวะซึมเศร้า มีอาการปวดท้อง หรืออาจเกิดนิ่วในไตได้
3.การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เป็นวิธีนอกเหนือจากการใช้ยาหยอดตาและใช้ยารับประทาน ซึ่งประกอบไปด้วยกระบวนการการผ่าตัดหลายแบบ หรือการรักษาบำบัดด้วยการใช้เลเซอร์ โดยวิธีเหล่านี้มีเป้าหมายในการระบายออกของของเหลวในตาให้ดีขึ้น และลดความดันในตา เช่น การรักษาด้วยเลเซอร์ที่แพทย์จะยิงเลเซอร์รักษาโรคต้อหินชนิดมุมเปิด โดยใช้แสงเลเซอร์สร้างรูเปิดเล็กๆ ที่มุมตาเพื่อช่วยให้ระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาได้ดียิ่งขึ้น และช่วยลดความดันตาหรืออาจใช้การผ่าตัดเปิดทางระบายให้น้ำข้างในออกมาอยู่ที่ใต้เยื่อบุตา เพื่อลดความดันในลูกตากรณีที่การรักษาเบื้องต้นไม่ได้ผล เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนของต้อหิน โรคต้อหินที่ไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาได้ไม่ดีพออาจทำให้อาการแย่ลงจนสูญเสียการมองเห็นได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ป่วยโรคต้อหินจะได้รับการรักษาแล้ว แต่ก็อาจเสี่ยงต่ออาการตาบอดได้เช่นกัน โดย 15 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ได้รับการรักษามีโอกาสสูญเสียการมองเห็นอย่างน้อยที่ดวงตา 1 ข้างภายในเวลา 20 ปี
นอกจากนี้ การรักษาต้อหินด้วยการผ่าตัดก็อาจทำให้มีอาการเลือดออกในตาหรือเกิดการติดเชื้อในตาได้ หรือการใช้ยาหยอดตาที่ซื้อมาใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ก็อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับดวงตาได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้ป่วยจึงไม่ควรซื้อยามาใช้เองแต่ควรปรึกษาแพทย์และใช้ยาตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น
การป้องกันต้อหิน ต้อหินเป็นโรคเกี่ยวกับดวงตาที่ไม่สามารถป้องกันได้ อย่างไรก็ตามหากได้รับการตรวจและได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรกๆ ก็อาจช่วยป้องกันการเสื่อม หรือลดการถูกทำลายของประสาทตาเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็น
โดยวิธีดูแลสุขภาพตาและลดความเสี่ยงของอาการรุนแรงจากโรคต้อหิน มีดังนี้
*ขอขอบคุณ แหล่งข้อมูลอ้างอิง #พบแพทย์ Website : https://www.pobpad.com/ต้อหิน
โทรหาเราที่เบอร์นี้